ความแตกต่างของคำว่า ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ กรรโชกทรัพย์ ฉ้อโกงทรัพย์ และยักยอกทรัพย์ ตามกฎหมายไทย
- Epsilon Legal Admin
- 20 มิ.ย.
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 5 วันที่ผ่านมา
ในชีวิตประจำวัน เราอาจได้ยินคำศัพท์เกี่ยวกับอาชญากรรมทรัพย์สินหลายคำ เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ หรือฉ้อโกงทรัพย์ แต่คุณเคยสงสัยไหมว่าแต่ละคำนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร และทำไมกฎหมายถึงแยกแยะชัดเจนขนาดนี้ การเข้าใจความแตกต่างของอาชญากรรมทรัพย์สินเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราเข้าใจกฎหมายมากขึ้น แต่ยังช่วยในการป้องกันตัวเองและทราบถึงโทษที่แตกต่างกันของแต่ละความผิด บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจกับอาชญากรรมทรัพย์สิน 7 ประเภทที่สำคัญตามประมวลกฎหมายอาญาไทย พร้อมยกตัวอย่างที่เข้าใจง่ายในแต่ละกรณี

1. ลักทรัพย์ (Theft)
นิยาม: ลักทรัพย์หมายถึง การนำทรัพย์สินของผู้อื่นไปโดยมิชอบ โดยมีเจตนาจะถือเป็นของตนเอง และการกระทำนั้นต้องไม่ใช้ความรุนแรงหรือการข่มขู่
องค์ประกอบความผิด:
นำทรัพย์สินของผู้อื่นไป
กระทำโดยมิชอบ (ไม่ได้รับอนุญาต)
มีเจตนาถือเป็นของตน
ไม่ใช้ความรุนแรงหรือการข่มขู่
โทษ: จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตัวอย่าง: นายสมชาย เข้าไปในบ้านของเพื่อนบ้านขณะที่ไม่มีใครอยู่ แล้วนำโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะไปขาย โดยไม่ได้ใช้ความรุนแรงใดๆ และไม่มีใครเห็น การกระทำของนายสมชายถือเป็น "ลักทรัพย์"
2. วิ่งราวทรัพย์ (Snatching)
นิยาม: วิ่งราวทรัพย์เป็นการลักทรัพย์รูปแบบหนึ่ง โดยผู้กระทำจะแย่งชิงทรัพย์สินจากมือหรือตัวของเจ้าของโดยใช้ความรวดเร็ว แต่ไม่ได้ใช้ความรุนแรงที่รุนแรงจนทำให้เจ้าของหวาดกลัว
องค์ประกอบความผิด:
แย่งชิงทรัพย์สินจากเจ้าของโดยตรง
ใช้ความรวดเร็วและความไม่ระมัดระวังของเจ้าของ
ไม่ใช้ความรุนแรงหรือการข่มขู่อย่างรุนแรง
โทษ: เช่นเดียวกับลักทรัพย์ คือ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตัวอย่าง: นางสาวสมศรี กำลังเดินถือกระเป๋าถือไว้หลวมๆ นายพิชัย วิ่งผ่านมาแล้วฉวยกระเป๋าจากมือของนางสาวสมศรีไป จากนั้นก็วิ่งหนีไป โดยไม่ได้ทำร้ายหรือข่มขู่นางสาวสมศรีแต่อย่างใด การกระทำของนายพิชัยถือเป็น "วิ่งราวทรัพย์"

3. ชิงทรัพย์ (Robbery - Minor Force)
นิยาม: ชิงทรัพย์คือการนำทรัพย์สินของผู้อื่นไปโดยใช้ความรุนแรงเล็กน้อยหรือการข่มขู่ที่ไม่รุนแรงมาก เพื่อให้เจ้าของยอมมอบทรัพย์สินให้
องค์ประกอบความผิด:
ใช้ความรุนแรงเล็กน้อยหรือการข่มขู่
เพื่อนำทรัพย์สินของผู้อื่นไป
ความรุนแรงไม่ถึงขั้นทำให้เกิดอันตรายร้ายแรง
โทษ: จำคุก 1 ปีถึง 10 ปี และปรับ 2,000 บาทถึง 20,000 บาท
ตัวอย่าง: นายสมศักดิ์ เข้าไปหาเจ้าของร้านสะดวกซื้อ แล้วบอกว่า "เอาเงินในลิ้นชักมาให้ ไม่งั้นจะทำร้าย" พร้อมกับยกมือขึ้นทำท่าจะตบ เจ้าของร้านจึงยอมให้เงินไป แม้ว่านายสมศักดิ์จะไม่ได้ทำร้ายจริง แต่การข่มขู่นี้ถือเป็น "ชิงทรัพย์"
4. ปล้นทรัพย์ (Robbery - Serious Force)
นิยาม: ปล้นทรัพย์เป็นอาชญากรรมที่รุนแรงกว่าชิงทรัพย์ โดยผู้กระทำจะใช้ความรุนแรงร้ายแรง การข่มขู่ด้วยอาวุธ หรือทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวอย่างมาก
องค์ประกอบความผิด:
ใช้ความรุนแรงร้ายแรงหรือการข่มขู่ด้วยอาวุธ
เพื่อนำทรัพย์สินของผู้อื่นไป
ทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวอย่างมาก
โทษ: จำคุก 5 ปีถึง 20 ปี และปรับ 10,000 บาทถึง 40,000 บาท
ตัวอย่าง: นายธนา ถือมีดเข้าไปในธนาคาร แล้วตะโกนบอกพนักงานว่า "เอาเงินมาให้หมด ไม่งั้นจะแทง" พร้อมกับโบกมีดใส่พนักงาน ทำให้พนักงานกลัวมากและยอมให้เงินไป การกระทำของนายธนาถือเป็น "ปล้นทรัพย์"

5. กรรโชกทรัพย์ (Extortion)
นิยาม: กรรโชกทรัพย์คือการบังคับให้ผู้อื่นมอบทรัพย์สิน โดยใช้การข่มขู่ว่าจะทำอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน หรือเปิดเผยความลับ
องค์ประกอบความผิด:
ข่มขู่ว่าจะทำอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน
หรือข่มขู่ว่าจะเปิดเผยความลับ
เพื่อบังคับให้ได้ทรัพย์สิน
โทษ: จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตัวอย่าง: นายสมเกียรติ รู้ว่านายกิตติ มีความสัมพันธ์นอกใจภรรยา จึงโทรไปบอกนายกิตติว่า "ถ้าไม่เอาเงิน 100,000 บาทมาให้ จะเล่าเรื่องนี้ให้ภรรยาและเจ้านายฟัง" การกระทำของนายสมเกียรติถือเป็น "กรรโชกทรัพย์"
6. ฉ้อโกงทรัพย์ (Fraud)
นิยาม: ฉ้อโกงทรัพย์คือการหลอกลวงผู้อื่นให้เชื่อในข้อความเท็จ หรือปกปิดความจริงที่ควรบอก เพื่อให้ผู้อื่นมอบทรัพย์สินให้โดยสมัครใจ
องค์ประกอบความผิด:
หลอกลวงด้วยวิธีการต่างๆ
ทำให้ผู้อื่นเชื่อและมอบทรัพย์สินให้โดยสมัครใจ
ผู้กระทำมีเจตนาฉ้อโกงตั้งแต่แรก
โทษ: จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตัวอย่าง: นายสมพงษ์ โทรหาคุณยาย แล้วอ้างว่าเป็นหลานชาย พร้อมกับบอกว่าเกิดอุบัติเหตุต้องการเงินเร่งด่วน คุณยายเชื่อจึงโอนเงิน 50,000 บาทให้ ต่อมาจึงรู้ว่าถูกหลอก การกระทำของนายสมพงษ์ถือเป็น "ฉ้อโกงทรัพย์"

7. ยักยอกทรัพย์ (Embezzlement)
นิยาม: ยักยอกทรัพย์คือการนำทรัพย์สินที่ตนมีหน้าที่ครอบครองหรือดูแลอยู่แล้วไปใช้ประโยชน์ส่วนตน โดยมิชอบ
องค์ประกอบความผิด:
มีหน้าที่ครอบครองหรือดูแลทรัพย์สินอยู่แล้ว
นำทรัพย์สินนั้นไปใช้ส่วนตนโดยมิชอบ
มีเจตนาถือเป็นของตนหรือผู้อื่น
โทษ: จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (หากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ โทษจะหนักขึ้น)
ตัวอย่าง: นายสมหมาย เป็นแคชเชียร์ของร้านค้า เขานำเงินในเครื่องคิดเงินที่เป็นของร้านมาใช้ส่วนตัว แล้วปิดบัญชีรายรับเป็นจำนวนที่น้อยลง การกระทำของนายสมหมายถือเป็น "ยักยอกทรัพย์"
ข้อแตกต่างสำคัญที่ควรจำ
1. ลักษณะการกระทำ
ลักทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์: ไม่ใช้ความรุนแรง
ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์: ใช้ความรุนแรงหรือการข่มขู่
กรรโชกทรัพย์: ใช้การข่มขู่แต่ไม่ได้ต้องการทรัพย์สินทันที
ฉ้อโกงทรัพย์: ใช้การหลอกลวง
ยักยอกทรัพย์: ทรัพย์สินอยู่ในความครอบครองอยู่แล้ว
2. ระดับความรุนแรงของโทษ
จากเบาไปหนัก: ลักทรัพย์ = วิ่งราวทรัพย์ = กรรโชกทรัพย์ = ฉ้อโกงทรัพย์ = ยักยอกทรัพย์ < ชิงทรัพย์ < ปล้นทรัพย์
3. เงื่อนไขพิเศษ
ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์: ความแตกต่างอยู่ที่ระดับความรุนแรง
ยักยอกทรัพย์: ต้องมีความสัมพันธ์ในการครอบครองทรัพย์สินอยู่แล้ว
กรรโชกทรัพย์: อาจไม่ได้รับทรัพย์สินทันที แต่เป็นการข่มขู่เพื่อประโยชน์ในอนาคต
ผลกระทบต่อผู้เสียหายและสังคม
อาชญากรรมทรัพย์สินแต่ละประเภทส่งผลกระทบต่อผู้เสียหายและสังคมในระดับที่แตกต่างกัน:
ผลกระทบทางจิตใจ: ปล้นทรัพย์และชิงทรัพย์มักทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวและบาดเจ็บทางจิตใจมากกว่าลักทรัพย์หรือฉ้อโกงทรัพย์
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: ทุกประเภทส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แต่ฉ้อโกงทรัพย์และยักยอกทรัพย์มักเกี่ยวข้องกับจำนวนเงินที่มากกว่า
ความไว้วางใจในสังคม: กรรโชกทรัพย์และฉ้อโกงทรัพย์ทำลายความไว้วางใจระหว่างบุคคลในสังคม
การป้องกันและแนวทางปฏิบัติ
สำหรับบุคคลทั่วไป:
ป้องกันลักทรัพย์: ล็อคประตูบ้าน ไม่ทิ้งของมีค่าไว้ที่เห็นได้ง่าย
ป้องกันวิ่งราวทรัพย์: ถือกระเป๋าให้แน่น เดินในที่มีคนเยอะ
ป้องกันชิงทรัพย์/ปล้นทรัพย์: หลีกเลี่ยงการเดินคนเดียวในที่เปลี่ยว ไม่โอ้อวดทรัพย์สิน
ป้องกันกรรโชกทรัพย์: ระวังการเก็บความลับที่อาจถูกนำมาใช้ในทางที่ผิด
ป้องกันฉ้อโกงทรัพย์: ตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อ ไม่โอนเงินให้คนแปลกหน้า
ป้องกันยักยอกทรัพย์: จัดระบบตรวจสอบสมดุลของบริษัท/องค์กร
สำหรับผู้ประกอบการ:
ติดตั้งระบบกล้องวงจรปิด
มีระบบการตรวจสอบภายในที่เข้มงวด
อบรมพนักงานเรื่องความซื่อสัตย์
แยกหน้าที่การเงินให้ชัดเจน
บทสรุป
การทำความเข้าใจความแตกต่างของอาชญากรรมทรัพย์สินตามกฎหมายไทยเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถป้องกันตัวเองได้อย่างเหมาะสม และเข้าใจถึงผลทางกฎหมายที่แตกต่างกันของแต่ละความผิด
สิ่งสำคัญที่ควรจำคือ แม้ว่าบางความผิดจะมีโทษที่เท่ากัน แต่วิธีการดำเนินคดีและผลกระทบต่อผู้เสียหายอาจแตกต่างกัน การรู้เท่าทันและป้องกันตัวเองจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
หากท่านพบเหตุการณ์เหล่านี้ ควรแจ้งความดำเนินคดีทันที และขอคำปรึกษาจากทนายความเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมอย่างเต็มที่ตามกฎหมาย
ตารางสรุปความแตกต่างของอาชญากรรมทรัพย์สิน
ประเภทความผิด | วิธีการกระทำ | ใช้ความรุนแรง | โทษจำคุก | โทษปรับ | ตัวอย่าง |
ลักทรัพย์ | นำทรัพย์สินไปลับๆ | ไม่ใช้ | ไม่เกิน 3 ปี | ไม่เกิน 6,000 บาท | ขโมยโทรศัพท์จากบ้าน |
วิ่งราวทรัพย์ | แย่งชิงแบบรวดเร็ว | ไม่ใช้ | ไม่เกิน 3 ปี | ไม่เกิน 6,000 บาท | ฉวยกระเป๋าแล้วหนี |
ชิงทรัพย์ | ใช้ความรุนแรงเล็กน้อย | ใช้เล็กน้อย | 1-10 ปี | 2,000-20,000 บาท | ข่มขู่ให้เงินโดยไม่ใช้อาวุธ |
ปล้นทรัพย์ | ใช้ความรุนแรงร้ายแรง | ใช้มาก | 5-20 ปี | 10,000-40,000 บาท | ใช้มีดปล้นธนาคาร |
กรรโชกทรัพย์ | ข่มขู่เพื่อเอาทรัพย์สิน | ข่มขู่ | ไม่เกิน 3 ปี | ไม่เกิน 6,000 บาท | ข่มขู่เปิดเผยความลับ |
ฉ้อโกงทรัพย์ | หลอกลวงให้เชื่อ | ไม่ใช้ | ไม่เกิน 3 ปี | ไม่เกิน 6,000 บาท | หลอกโอนเงินว่าเป็นหลาน |
ยักยอกทรัพย์ | นำทรัพย์สินที่ดูแลอยู่ไป | ไม่ใช้ | ไม่เกิน 3 ปี* | ไม่เกิน 6,000 บาท* | พนักงานขโมยเงินร้าน |
*หมายเหตุ: โทษของยักยอกทรัพย์อาจหนักขึ้นหากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือกรณีพิเศษอื่นๆ
Comments