top of page

ถึงเวลาต้องใช้ "ทนาย" คุณต้องรู้อะไรบ้าง..... เวอร์ชั่นโจทก์

อัปเดตเมื่อ 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิเคราะห์โดยมุมกฎหมาย ว่าด้วยหน้าที่ ความรับผิด และกลยุทธ์ของผู้เริ่มต้นฟ้องคดี

ในห้วงเวลาที่ชีวิตคนเราต้องเผชิญกับความขัดแย้งที่ไม่สามารถหาทางออกได้ด้วยการพูดคุยหรือเจรจา “ศาล” จึงกลายเป็นปลายทางหนึ่งของการแสวงหาความยุติธรรม และในกระบวนการนี้ การมี "ทนายความ" เป็นผู้แทนทางกฎหมายจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อคุณอยู่ในฐานะ “โจทก์” หรือ “ผู้ฟ้องคดี” ซึ่งเป็นฝ่ายริเริ่มกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด



การฟ้องคดีจึงไม่ใช่แค่เรื่องของอารมณ์หรือความรู้สึกว่า “ฉันถูกกระทำ” เท่านั้น หากแต่คือการวางยุทธศาสตร์ กำหนดข้อเท็จจริง หาหลักฐาน และใช้กระบวนการทางกฎหมายให้ถูกต้อง เพื่อให้ความยุติธรรมถูกส่งต่อไปในทางที่ชอบธรรมที่สุด


ในบทความนี้ เราจะชวนคุณวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งว่า หากคุณต้องใช้ทนายความในฐานะโจทก์ คุณต้องเตรียมตัวอย่างไร คิดอะไรให้รอบด้าน และที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องพูดความจริงกับทนายความอย่างไรบ้าง เพื่อให้เขาทำหน้าที่ได้อย่างเต็มกำลังโดยไม่ตกอยู่ในหลุมพรางของ “ข้อมูลเท็จ” ที่คุณเองอาจเผลอปิดบัง


1. บทบาทของโจทก์ในกระบวนการยุติธรรม

การเป็น “โจทก์” คือการเริ่มต้นการฟ้องร้องโดยสมัครใจ เป็นฝ่ายที่ยื่นฟ้องต่อศาลโดยเห็นว่า ตนเองได้รับความเสียหายหรือสิทธิถูกละเมิด เช่น ถูกโกง ถูกละเมิดสัญญา ถูกบุกรุกกรรมสิทธิ์ หรือได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดต่าง ๆ หน้าที่ของโจทก์จึงหนักหนากว่า “จำเลย” ในหลายประการ กล่าวคือ โจทก์ต้องเป็นฝ่ายแสดงพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์คำฟ้อง หากไม่มีน้ำหนักเพียงพอ คดีอาจถูกศาลยกฟ้อง ดังนั้น ทนายความในฝั่งโจทก์จึงต้องมีบทบาทในการช่วยวางกลยุทธ์และพยานหลักฐานตั้งแต่ต้น


2. ก่อนจะจ้างทนายความ: วิเคราะห์สถานะคดีและสิทธิตัวเองก่อน

2.1 ประเมินสิทธิและความเสียหาย

ก่อนจะยื่นฟ้องคดี ควรถามตัวเองว่า "สิ่งที่เสียหายคืออะไร?", "ใครเป็นผู้ละเมิด?" และ "มีหลักฐานหรือไม่?" ทนายความที่ดีจะช่วยประเมินให้ว่าเรื่องนั้นเป็น “ข้อพิพาททางแพ่ง”, “อาญา”, หรือ “ปกครอง” รวมถึงสามารถฟ้องได้จริงหรือไม่

2.2 ต้องแยกเรื่องข้อเท็จจริงกับข้อกฎหมายให้ออก

ข้อเท็จจริง คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ส่วนข้อกฎหมาย คือกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับกับข้อเท็จจริงนั้น หากข้อเท็จจริงไม่ชัดเจนหรือไม่แน่นหนา คดีก็อาจล้ม การเตรียมเอกสาร เช่น สัญญา บันทึกสนทนา หลักฐานการโอนเงิน รูปถ่าย หรือพยานบุคคลจึงเป็นหัวใจสำคัญ

2.3 คำนวณค่าใช้จ่ายและโอกาสแพ้-ชนะ

การฟ้องคดีมีค่าใช้จ่าย ทั้งค่าส่งฟ้อง ค่าธรรมเนียมศาล ค่าจ้างทนาย และค่าเสียเวลา การคิดคำนวณต้นทุนทางกฎหมายกับความคุ้มค่าจึงเป็นเรื่องจำเป็น เช่น หากฟ้องเรียกเงิน 50,000 บาท แต่จ้างทนาย 30,000 บาท อาจไม่คุ้มค่าที่จะดำเนินคดี


3. การเลือกทนายความ: คุณสมบัติที่ควรมีและข้อควรระวัง

การเลือกทนายความควรพิจารณาในหลายมิติ ทั้งความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ประสบการณ์ในคดีลักษณะเดียวกัน ทัศนคติ และความตรงไปตรงมา อย่าหลงเชื่อทนายที่ “พูดทุกอย่างให้คุณรู้สึกดี” หรือสัญญาว่าจะชนะคดี 100% เพราะในความเป็นจริง ไม่มีใครสามารถรับรองผลลัพธ์ของกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเด็ดขาด ทนายที่ดีคือผู้ที่กล้าบอกความเสี่ยง พร้อมวิเคราะห์ให้คุณเข้าใจข้อดี-ข้อเสีย และแนวทางที่ควรดำเนินการอย่างรอบคอบ

3.1 ความเชี่ยวชาญในสายคดี

ไม่ใช่ทนายทุกคนจะรับคดีทุกประเภท การเลือกทนายต้องพิจารณาว่าเขาเชี่ยวชาญในคดีที่คุณต้องการหรือไม่ เช่น คดีครอบครัว คดีแพ่ง คดีแรงงาน หรือคดีทรัพย์สินทางปัญญา

ในกระบวนการพิจารณาคดี ทนายความมีหลายบทบาท ซึ่งคุณต้องเลือกใช้ให้ถูกกับประเภทของคดี เช่น

  • ทนายคดีอาญา: ผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้คดีอาญา เช่น คดีฉ้อโกง ลักทรัพย์ พ.ร.บ.ยาเสพติด

  • ทนายว่าความ: เป็นผู้ขึ้นว่าความในศาลโดยเฉพาะ ซึ่งต้องมีใบอนุญาตว่าความจากสภาทนายความ

  • ทนายความที่ปรึกษา: เหมาะกับการให้คำปรึกษานอกศาล เช่น การร่างคำให้การ ตรวจสอบเอกสาร หรือเจรจาต่อรอง

3.2 สิ่งที่ควรตรวจสอบก่อนใช้บริการทนาย:

  • ใบอนุญาตว่าความ ที่ยังไม่หมดอายุ

  • ประสบการณ์ในคดีที่คล้ายกัน เพื่อประเมินศักยภาพและความถนัด

  • แนวทางการสื่อสาร และความชัดเจนในการอธิบายข้อมูลกฎหมาย

  • ความโปร่งใสเรื่องค่าใช้จ่าย ไม่คลุมเครือ ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง

3.3 ข้อตกลงล่วงหน้าและค่าจ้าง

ควรมีการทำสัญญาว่าจ้างที่ชัดเจน เช่น ค่าจ้างเบื้องต้น ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายอื่น และจะมีการเรียกเก็บเพิ่มหรือไม่ ทั้งนี้ ทนายบางคนอาจเรียก “ค่าดำเนินคดีสำเร็จ” ซึ่งเป็นเงื่อนไขต้องห้ามในทางจริยธรรม (ตามข้อบังคับว่าด้วยจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพทนายความ)

3.4 บทบาทของทนาย: ไม่ใช่ผู้ตัดสินใจแทนโจทก์

ทนายคือที่ปรึกษาและตัวแทนทางกฎหมาย แต่การตัดสินใจ เช่น จะยอมความหรือไม่ จะอุทธรณ์หรือไม่ ยังเป็นสิทธิของโจทก์ ทนายควรมีหน้าที่เสนอแนวทางที่ดีที่สุด แต่ไม่ใช่กดดันลูกความ


4. พูดความจริงกับทนายให้หมด: นี่คือรากฐานแห่งชัยชนะ

นี่คือหัวใจสำคัญที่โจทก์จำนวนมาก มองข้าม หรือแม้กระทั่ง จงใจหลีกเลี่ยง ด้วยความกลัวว่า “ทนายจะไม่ช่วย” หากรู้ความจริงทั้งหมด

แต่ในความเป็นจริง ทนายจะปกป้องคุณได้อย่างไร ถ้าเขาไม่รู้ว่าอะไรคือจุดอ่อนของคดีคุณ?

กฎหมายไทยให้สิทธิแก่จำเลยในการหักล้างข้อกล่าวหาทุกประการ หากคุณพูดไม่หมด ปิดบางประเด็น หรือบิดเบือนข้อมูล แม้เพียงเล็กน้อย ทนายจะกลายเป็น “คนที่เดินเข้าสมรภูมิด้วยแผนที่ผิด” และเมื่อจำเลยเปิดเกมโต้กลับด้วยข้อมูลจริงที่คุณไม่เคยบอก ทนายจะไม่มีโอกาสรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ และผลลัพธ์คือคดีของคุณอาจพังทั้งระบบ

จำไว้ว่าทนายไม่ใช่ผู้พิพากษา ไม่ใช่คนตัดสินคุณ แต่คือ “นักกลยุทธ์” ที่จะวางโครงสร้างคดีให้แข็งแรงที่สุด โดยต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนและจริงแท้จากคุณเท่านั้น


5. เมื่อเข้าสู่กระบวนการฟ้องคดี

การจัดเตรียมพยานหลักฐาน: ยิ่งละเอียด ยิ่งชัด ยิ่งมีน้ำหนัก

ในบทบาทโจทก์ คุณต้องแสดงให้ศาลเห็นว่า ข้อกล่าวหาของคุณมีมูลความจริง ดังนั้น เอกสาร สัญญา บันทึกการติดต่อ ภาพถ่าย หรือแม้แต่บทสนทนาในแชตควรถูกจัดระเบียบอย่างเป็นระบบ ทนายของคุณจะสามารถวางกลยุทธ์ได้ง่ายขึ้น หากคุณเตรียมเอกสารให้พร้อม อย่าปล่อยให้ทนายต้องเป็นคนไล่หาเอกสารแทนคุณ เพราะเขาไม่ใช่นักสืบ แต่คือผู้ใช้พยานหลักฐานที่คุณให้มาเป็นเครื่องมือในศาล

5.1 การร่างคำฟ้อง

ทนายจะเป็นผู้ร่างคำฟ้องตามข้อเท็จจริงที่ลูกความให้ และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คำฟ้องต้องมีรายละเอียดชัดเจน ไม่คลุมเครือ เช่น การระบุจำนวนเงินที่ฟ้อง เหตุผลที่ฟ้อง และบทบัญญัติกฎหมายที่ใช้บังคับ

5.2 การส่งหมายเรียกและการเข้าสู่กระบวนการพิจารณา

เมื่อศาลรับคำฟ้องแล้ว จะออกหมายเรียกไปยังจำเลย ทนายจะเป็นผู้ติดตามและแจ้งลูกความตลอดกระบวนการ ตั้งแต่การสอบคำให้การ นัดสืบพยาน ไปจนถึงการพิพากษา

5.3 การไปศาล: ไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่คือ “กลยุทธ์และความน่าเชื่อถือ”

ในห้องพิจารณาคดี ภาพลักษณ์ บุคลิก และการให้การของคุณล้วนมีผลต่อดุลพินิจของศาล

  • คำพูดต้องสอดคล้องกับเอกสาร

  • อารมณ์ต้องมั่นคง ไม่แสดงความโกรธเกินเหตุ

  • ท่าทีต้องเคารพต่อศาลและกระบวนการยุติธรรม

ทนายจะช่วยซ้อมคำถาม-คำตอบให้คุณ แต่ทั้งหมดนี้จะไร้ผล หากคุณพูดไม่ตรงกับความจริงที่เคยบอกทนายไว้ หรือหลุดพูดเรื่องใหม่ที่ไม่เคยถูกนำเสนอมาก่อน


6. ความเสี่ยงและข้อควรระวังของโจทก์

6.1 โอกาสแพ้คดีและต้องรับผิดชอบค่าทนายของฝ่ายตรงข้าม

หากฟ้องแล้วแพ้คดี อาจถูกศาลสั่งให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมและค่าทนายของฝ่ายจำเลย ทั้งนี้ตามดุลพินิจของศาล

6.2 ฟ้องโดยไม่มีมูลเหตุที่ชอบด้วยกฎหมาย อาจถูกฟ้องกลับ

หากมีการฟ้องโดยเจตนาร้าย กลั่นแกล้ง หรือไม่มีพยานหลักฐานที่สมควร อาจถูกจำเลยฟ้องกลับในข้อหาหมิ่นประมาทหรือฟ้องเท็จได้

6.3 การผิดนัดหรือไม่มาตามหมายเรียกของศาล

หากโจทก์หรือทนายความไม่มาศาลตามนัด ศาลอาจยกฟ้องโดยไม่พิจารณาเนื้อหา หรือออกหมายเรียกใหม่พร้อมบทลงโทษปรับได้


7. เมื่อคดีสิ้นสุด: คำพิพากษาและการบังคับคดี

หลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้ว หากโจทก์ชนะคดี แต่จำเลยไม่ชำระหนี้หรือดำเนินการตามคำพิพากษา จะต้องเข้าสู่ขั้นตอน “การบังคับคดี” ซึ่งทนายจะเป็นผู้ดำเนินการ เช่น การยึดทรัพย์ อายัดเงินเดือน หรือสั่งห้ามจำเลยทำธุรกรรมบางประเภท ทั้งนี้ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม



สรุป: ความยุติธรรมเริ่มจากความจริง

“ความยุติธรรมไม่ได้เกิดขึ้นในศาลเสมอไป แต่มันเริ่มจากความจริงที่คุณกล้ายอมรับและส่งต่อให้ทนายของคุณตั้งแต่แรก”

หากคุณต้องใช้ทนายในฐานะโจทก์ จงเริ่มต้นด้วยความจริง จงเลือกทนายที่คุณไว้ใจได้ และจงเตรียมตัวอย่างมีสติ เพราะคดีความไม่ใช่เกมที่เอาชนะด้วยเล่ห์เหลี่ยม แต่คือการสื่อสาร “ข้อเท็จจริงให้ศาลเชื่อ” ด้วยกลยุทธ์และหลักฐานที่หนักแน่น ความยุติธรรมไม่ใช่สิ่งที่ใครมอบให้ แต่คือสิ่งที่คุณต้องช่วยให้ทนายของคุณ แสวงหาอย่างซื่อสัตย์และรอบคอบที่สุด เท่าที่คุณจะทำได้

Comments


bottom of page