top of page

การแย่งลูกจากอกแม่ และสัญญาขอดูแลบุตรแต่เพียงผู้เดียว ทำได้หรือไม่ ?

อัปเดตเมื่อ 13 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ในกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวเกี่ยวกับชายผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์รายหนึ่งซึ่งพาบุตรวัยเพียงหนึ่งเดือนไปจากหญิงสาวอายุ 26 ปีที่เป็นมารดาของเด็ก โดยที่ทั้งสองมิได้จดทะเบียนสมรสกัน กรณีนี้ได้สร้างข้อถกเถียงในประเด็นทางกฎหมายอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในเรื่อง "สิทธิในการปกครองบุตร" และความชอบด้วยกฎหมายของ "สัญญามอบบุตร" ที่มารดาได้ลงนามไว้ นอกจากนั้นในสังคมไทยปัจจุบัน กรณีการแย่งชิงบุตรระหว่างบิดา มารดา หรือบุคคลที่มีความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่น เช่น คู่สมรสเพศเดียวกัน กำลังกลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง การนำบุตรไปจากมารดาโดยไม่ได้รับความยินยอมตามกฎหมาย ไม่เพียงกระทบสิทธิส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันกับเสถียรภาพทางจิตใจของเด็ก และอาจละเมิดกฎหมายอาญาอย่างร้ายแรงด้วย



บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงสิทธิของมารดาในการปกครองบุตรตามกฎหมายไทย ขยายมุมมองถึงสังคม LGBT+ และนำเสนอแนวทางที่ถูกต้องสำหรับการจัดการความขัดแย้งเกี่ยวกับบุตรโดยสันติวิธีหรือกระบวนการยุติธรรม


สิทธิในการปกครองบุตรตามกฎหมายไทย

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 ระบุว่า

"เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น"

ความหมายของบทบัญญัตินี้ชัดเจนว่า หากไม่มีการสมรสที่ชอบด้วยกฎหมายหรือการรับรองบุตรโดยกระบวนการศาล บิดาย่อมไม่มีสิทธิใช้อำนาจปกครองบุตร ไม่สามารถนำเด็กไปจากมารดาได้โดยพลการ แม้ว่าจะเป็นบิดาทางสายเลือดก็ตาม

ในกรณีที่เกิดขึ้นจริง เช่น แพทย์ผู้หนึ่งนำเด็กอายุเพียง 1 เดือนไปจากมารดาโดยไม่มีการสมรสและไม่มีการรับรองบุตร กฎหมายถือว่ามารดาเป็นผู้มีอำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น การนำบุตรไปเช่นนี้อาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 ว่าด้วย "การพรากผู้เยาว์" ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึง 15 ปี (อ้างอิง: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์, มาตรา 1546).


ความชอบด้วยกฎหมายของ "สัญญามอบบุตร"

แม้บางกรณีจะมีเอกสารที่มารดาเซ็นยินยอมให้บิดาหรือบุคคลอื่นรับเด็กไปเลี้ยงดู เอกสารนั้นไม่มีผลทางกฎหมายในการโอนอำนาจปกครองโดยตรง เนื่องจากอำนาจปกครองถือเป็นสิทธิที่เกี่ยวกับสถานภาพบุคคล ซึ่งไม่สามารถโอนเปลี่ยนได้ด้วยสัญญาระหว่างเอกชน หากประสงค์จะโอนอำนาจดังกล่าว ต้องขอศาลมีคำสั่งอนุญาตเท่านั้น (อ้างอิง: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์, มาตรา 1521).


สิทธิของมารดาในสังคมหลากหลายเพศ (LGBTQIA+)

ในบริบทของสังคมที่มีความหลากหลายทางเพศ เช่น คู่รักหญิงรักหญิงที่มีบุตรร่วมกัน (ผ่านการอุ้มบุญหรือวิธีอื่น) คำถามเรื่อง "สิทธิการปกครองบุตร" ยิ่งมีความละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น ตามหลักกฎหมายไทยในปัจจุบัน ยังไม่มีการรับรองการเป็นผู้ปกครองร่วมโดยคู่สมรสเพศเดียวกัน เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นมารดาโดยกำเนิด ในกรณีเช่นนี้ "มารดา" ยังคงเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายแต่เพียงผู้เดียว เว้นแต่จะมีการรับรองสิทธิของอีกฝ่ายผ่านคำสั่งศาล ดังนั้น กรณีการนำบุตรไปโดยคู่สมรสที่มิใช่มารดาตามสายเลือด แม้จะมีความผูกพันทางใจ ก็อาจเข้าข่ายการพรากผู้เยาว์โดยมิชอบด้วยกฎหมายได้เช่นกัน


การแย่งชิงบุตร: ผลกระทบทางจิตใจและกฎหมาย

การแย่งชิงบุตรโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้มีอำนาจปกครองที่ชอบด้วยกฎหมาย มีผลกระทบอย่างร้ายแรงทั้งต่อเด็กและต่อผู้ปกครองที่ถูกพรากสิทธิไป

  • ด้านเด็ก: เสี่ยงต่อภาวะเครียด (Trauma) และความไม่มั่นคงทางอารมณ์อย่างยั่งยืน

  • ด้านมารดา: กระทบสิทธิในฐานะผู้ปกครองตามกฎหมาย และอาจทำให้ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่ซับซ้อนเพื่อทวงคืนสิทธิ

  • ด้านผู้กระทำ: เสี่ยงต่อความผิดอาญา (พรากผู้เยาว์) และการถูกฟ้องร้องเพื่อขอคืนบุตร


กฎหมายส่งเสริมและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562

พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562 เน้นย้ำเรื่องการคุ้มครองสิทธิของสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะ "เด็ก" และ "สตรี" ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางสูงสุด

นิยามครอบครัว: รวมถึงบุคคลที่อยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ครอบคลุมคู่รัก LGBTQIA+ ด้วย (มาตรา 4)

นิยามความรุนแรงในครอบครัว: รวมถึงการกดดัน บีบบังคับ ใช้อำนาจเหนือกว่า รวมถึงการพรากเด็กอย่างไม่ชอบธรรม

การนำบุตรไปโดยพลการ แม้ไม่ใช้กำลัง แต่หากใช้วิธีการกดดันทางจิตใจหรือบีบบังคับทางสังคม ก็ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายภายใต้พ.ร.บ.นี้ (อ้างอิง: พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562).


หลัก "ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก" (Best Interest of the Child)

ตามมาตรา 23 ของ พ.ร.บ.ฯ รวมถึงอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ที่ไทยเป็นภาคี การพิจารณาใด ๆ ต้องยึด "ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก" เป็นสำคัญ ซึ่งรวมถึง

  • ความมั่นคงทางร่างกายและจิตใจ

  • การได้รับการดูแลจากผู้ปกครองที่เหมาะสม

  • ความต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมการเลี้ยงดู

การพรากบุตรจากมารดาที่เป็นผู้เลี้ยงดูหลัก โดยไม่ผ่านกระบวนการศาลหรือตกลงร่วมกัน ย่อมขัดต่อหลักการนี้อย่างสิ้นเชิง


แนวทางที่ดีที่สุด: "ตกลงร่วมกัน" หรือ "ขอศาลตัดสิน"

แม้การแย่งชิงบุตรจะเกิดขึ้นจากความรักและห่วงใยในตัวเด็ก แต่การกระทำโดยพลการย่อมก่อให้เกิดความเสียหายหลายด้าน ทางที่ดีที่สุดคือ

  1. เจรจาตกลงกันโดยสุจริตใจ: ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อหาข้อยุติที่ดีที่สุดต่อเด็ก

  2. ขอศาลมีคำสั่ง: หากไม่สามารถตกลงกันได้ ควรยื่นคำร้องต่อศาลขอใช้อำนาจปกครองบุตรร่วม หรือขอสิทธิเลี้ยงดูบางเวลา (Visitation Right) อย่างเป็นทางการ เพื่อให้เด็กไม่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งที่บาดลึก

  3. อาศัยการประนีประนอม: ผ่านกระบวนการไกล่เกลี่ยก่อนขึ้นศาล เพื่อลดความตึงเครียดและรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัว



เคารพสิทธิ รักษาสันติ เพื่ออนาคตของเด็ก

การแย่งชิงบุตรไม่เคยนำมาซึ่งคำตอบที่ดีต่อใคร การเคารพสิทธิของมารดา การปฏิบัติตามกฎหมาย และการยึดถือ "ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก" เป็นหัวใจของการแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าครอบครัวจะอยู่ในรูปแบบชายหญิง หรือคู่รัก LGBT+ กฎหมายไทยยืนหยัดเพื่อคุ้มครองความเป็นอยู่ที่ดีที่สุดของเด็กและผู้ปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายเสมอ


อ้างอิง

  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546-1560

  • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317

  • พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562

  • อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child – CRC)

Comments


bottom of page