เวลาจะใช้ทนายคุณต้องทำอะไรบ้าง..... เวอร์ชั่นจำเลย
- Epsilon Legal Admin
- 9 พ.ค.
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 18 พ.ค.
ในสังคมไทย การขึ้นโรงขึ้นศาลอาจเป็นประสบการณ์ที่ไม่คุ้นเคยและน่าหวั่นใจสำหรับคนทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อคุณตกอยู่ในสถานะของ “จำเลย” ซึ่งกฎหมายถือว่าเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหา และต้องได้รับความคุ้มครองในกระบวนการพิจารณาคดีอย่างเท่าเทียม กระนั้น ความเท่าเทียมในเชิงนามธรรมมักพังทลายลงหากจำเลยขาดความเข้าใจในสิทธิของตนเอง ขาดการเตรียมตัว และที่สำคัญที่สุด — ขาด “ทนายความที่เหมาะสม”

1. จำเลยต้องรู้ว่า 'ทนายไม่ใช่เครื่องมือ แต่คือเพื่อนร่วมรบ'
ในกระบวนการยุติธรรม ทนายความไม่ใช่เพียงคนที่พูดแทนคุณในศาล หากแต่เป็นผู้ที่แปล “ภาษากฎหมาย” ให้คุณเข้าใจ เป็นผู้ที่ประเมินโอกาสของคดีตามหลักข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย และวางกลยุทธ์ในการสู้คดีให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละกรณี หลายคนเข้าใจผิดว่า “จ้างทนาย” คือการซื้อชัยชนะ แต่ในความจริง ทนายคือผู้ช่วยให้คุณสามารถปกป้องสิทธิของตัวเองตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด และทำให้ศาลได้เห็นอีกด้านของเรื่องที่ไม่ใช่แค่คำฟ้องหรือคำกล่าวหาฝ่ายเดียว
2. ความจริงที่สำคัญที่สุด: ‘พูดความจริงทั้งหมดกับทนายของคุณ’
นี่คือกฎเหล็กที่จำเลยทุกคนต้องจำให้ขึ้นใจ การปิดบังข้อเท็จจริง การเลือกพูดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ หรือแม้แต่การโกหกทนายของตนเองนั้น คือการสร้างหลุมพรางให้คดีของคุณเอง
ในมุมมองทางกฎหมาย ทนายความมีหน้าที่รักษาความลับของลูกความภายใต้หลัก “ความลับในวิชาชีพ” (Attorney-Client Privilege) ทนายไม่มีสิทธิเปิดเผยสิ่งที่ลูกความบอก แม้จะเป็นการรับสารภาพในข้อหาก็ตาม ยกเว้นบางกรณี เช่น ลูกความจะกระทำผิดซ้ำหรือละเมิดสิทธิบุคคลอื่นอย่างร้ายแรง ดังนั้น หากคุณไม่พูดความจริงกับทนาย ทนายจะไม่สามารถเตรียมแผนรับมือกับข้อกล่าวหาที่แท้จริงได้ และเมื่อเรื่องที่ปกปิดถูกเปิดเผยกลางศาลในภายหลัง คดีของคุณอาจสูญเสียความน่าเชื่อถืออย่างไม่อาจกู้คืนได้

3. ก่อนจะใช้ทนาย คุณควรรู้จัก “ประเภท” และ “บทบาท” ของทนาย
ในกระบวนการพิจารณาคดี ทนายความมีหลายบทบาท ซึ่งคุณต้องเลือกใช้ให้ถูกกับประเภทของคดี เช่น
ทนายคดีอาญา: ผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้คดีอาญา เช่น คดีฉ้อโกง ลักทรัพย์ พ.ร.บ.ยาเสพติด
ทนายว่าความ: เป็นผู้ขึ้นว่าความในศาลโดยเฉพาะ ซึ่งต้องมีใบอนุญาตว่าความจากสภาทนายความ
ทนายความที่ปรึกษา: เหมาะกับการให้คำปรึกษานอกศาล เช่น การร่างคำให้การ ตรวจสอบเอกสาร หรือเจรจาต่อรอง
สิ่งที่ควรตรวจสอบก่อนใช้บริการทนาย:
ใบอนุญาตว่าความ ที่ยังไม่หมดอายุ
ประสบการณ์ในคดีที่คล้ายกัน เพื่อประเมินศักยภาพและความถนัด
แนวทางการสื่อสาร และความชัดเจนในการอธิบายข้อมูลกฎหมาย
ความโปร่งใสเรื่องค่าใช้จ่าย ไม่คลุมเครือ ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง
4. การเตรียมตัวก่อนพบทนาย: บทเรียนสำคัญที่จำเลยมักละเลย
การใช้บริการทนายให้ได้ผลสูงสุดนั้น ต้องเริ่มจาก “การเตรียมตัวของจำเลยเอง” โดยควรทำสิ่งต่อไปนี้:
รวบรวมเอกสารทุกฉบับที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือแจ้งข้อกล่าวหา หมายศาล หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ หรือแม้แต่บทสนทนาในแชต โพสต์บนโซเชียลมีเดีย
จัดลำดับเหตุการณ์ อย่างมีระบบ แบ่งเป็นวัน เวลา สถานที่ บุคคลที่เกี่ยวข้อง และสิ่งที่เกิดขึ้น
ตั้งคำถามและเป้าหมาย ที่อยากปรึกษา เช่น คดีนี้มีโทษอย่างไร? ควรรับสารภาพหรือสู้? มีทางรอดแค่ไหน?
การเตรียมเหล่านี้จะช่วยให้ทนายสามารถประเมินสถานการณ์อย่างแม่นยำ และลดโอกาสที่จะเกิดการสื่อสารผิดพลาดซึ่งอาจส่งผลต่อแนวทางในการต่อสู้คดี
5. การเลือกสู้หรือยอมรับผิด: การตัดสินใจทางกฎหมาย ไม่ใช่ศักดิ์ศรีส่วนตัว
หลายคนมองว่าการรับสารภาพเป็นการยอมแพ้ หรือทำให้ตนเองดูด้อยคุณค่า แต่ในเชิงกฎหมาย บางครั้งการยอมรับผิดและเจรจาขอความเมตตา อาจเป็นกลยุทธ์ที่ลดโทษลงได้ดีกว่าการดื้อดึงสู้โดยไม่มีหลักฐาน
การปรึกษาทนายจะทำให้คุณรู้ว่าข้อหาที่เจอมีโอกาสสู้ได้แค่ไหน และหากสู้ไม่ได้ มีแนวทางใดในการลดโทษ หรือเปลี่ยนรูปแบบความผิดให้เบาบางลง เช่น การต่อรองเปลี่ยนข้อกล่าวหาจากข้อหาหนักให้เป็นเบา (plea bargaining) หรือการใช้เหตุบรรเทาโทษ เช่น การสำนึกผิด การชดใช้ความเสียหาย หรือการเข้าร่วมบำบัด
6. ทนายดีแต่จำเลยไม่ให้ความร่วมมือ = พ่ายแพ้ในศาล
การให้ความร่วมมือกับทนายตั้งแต่วันแรกคือกุญแจสำคัญ เช่น การมาตามนัดหมายศาลทุกครั้ง การไม่ไปแสดงตนในที่สาธารณะหรือให้สัมภาษณ์สื่ออย่างไม่เหมาะสม การหลีกเลี่ยงการโพสต์โซเชียลที่กระทบต่อรูปคดี และที่สำคัญคือ “ไม่ทำผิดซ้ำในช่วงที่คดีอยู่ระหว่างพิจารณา” จำเลยหลายรายเสียเปรียบคดีเพราะพฤติกรรมส่วนตัว กลายเป็นภาพลักษณ์เชิงลบที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถใช้โจมตีในศาลได้โดยไม่ต้องใช้หลักฐานใหม่ใด ๆ
7. ทนายไม่ใช่พระเจ้า: แต่คือผู้ตีความกฎหมายเพื่อโอกาสของคุณ
ท้ายที่สุดแล้ว ทนายไม่สามารถเปลี่ยนความจริง แต่สามารถเปลี่ยนวิธีที่ความจริงนั้นถูกเข้าใจโดยศาล หากคุณร่วมมืออย่างเต็มที่ เปิดเผยความจริง มีเอกสารหลักฐานครบถ้วน และทำความเข้าใจกับกฎหมายที่คุณกำลังเผชิญอยู่ คุณจะกลายเป็นจำเลยที่พร้อมที่สุดในศาล

บทส่งท้าย: การมีทนายไม่ใช่เรื่องของคนผิด — แต่คือการใช้สิทธิเพื่อปกป้องตัวเองในสังคมที่ยุติธรรมควรเปิดโอกาสให้ทุกคน
อย่าอายที่จะหาทนาย อย่ารอจนศาลเรียก อย่าคิดว่าไม่มีเงินแล้วไม่ควรต่อสู้ เพราะระบบยุติธรรมไทยมีบริการทนายขอแรงในคดีอาญาที่คุณสามารถร้องขอได้ หากคุณเข้าเกณฑ์จำเลยยากจน แต่ที่สำคัญกว่าการมีทนายคือ “การพูดความจริงทั้งหมดกับทนายของคุณ” เพราะนั่นคือกุญแจที่แยกระหว่างความพ่ายแพ้กับโอกาสสุดท้ายที่คุณควรได้รับจากกระบวนการยุติธรรมไทย
Comments