ตลาดแมวหรือตลาดสุนัขรุ่งกว่ากันในประเทศไทย
- Aktivist Admins
- 8 ส.ค.
- ยาว 2 นาที
ในโลกของสัตว์เลี้ยงที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท คำถามที่หลายคนสงสัย และเป็นที่ถกเถียงกันในวงการธุรกิจคือ "ตลาดไหนใหญ่กว่ากัน ระหว่างตลาดแมวกับตลาดสุนัข?" คำตอบนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะเบื้องหลัง "ตัวเลขผิวเผิน" นั้น ซ่อนเรื่องราวที่ซับซ้อนและน่าสนใจมากกว่าที่เราคิด ทั้งสองตลาดไม่เพียงแต่มีพฤติกรรมการบริโภคและกำลังซื้อที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ยังมี "จิตวิทยาการใช้จ่าย" ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เจ้าของสุนัข มักมองสุนัขเป็น "เพื่อนคู่ใจ" ที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด การใช้จ่ายจึงเน้นไปที่บริการและกิจกรรมร่วมกัน ในขณะที่ เจ้าของแมว มักมองแมวเป็น "สมาชิกครอบครัวพิเศษ" ที่ต้องการพื้นที่และสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ การลงทุนจึงไปในทิศทางการ "ปรับปรุงบ้าน" และอุปกรณ์เฉพาะทาง การต่อสู้ทางเศรษฐกิจระหว่างสองตลาดนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่การเปรียบเทียบตัวเลข แต่เป็นการวิเคราะห์ "วัฒนธรรมการใช้จ่าย" ที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์เลี้ยงในยุคใหม่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้เราต้องคิดใหม่เกี่ยวกับตลาดสัตว์เลี้ยงไทยทั้งหมด

ภาพรวมตลาดสัตว์เลี้ยงไทย เมื่อสัตว์เลี้ยงกลายเป็นคนในครอบครัว
ตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาทต่อปี และเติบโตต่อเนื่องในอัตรา 8-12% ทุกปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนไทยที่ให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น
จากข้อมูลการสำรวจล่าสุด พบว่าในประเทศไทยมี:
ครัวเรือนที่เลี้ยงสุนัข: ประมาณ 4.2 ล้านครัวเรือน
ครัวเรือนที่เลี้ยงแมว: ประมาณ 3.8 ล้านครัวเรือน
แต่ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราว เพราะ พฤติกรรมการใช้จ่าย ของเจ้าของสุนัขและแมวแตกต่างกันมากเลยทีเดียว

พฤติกรรมเจ้าของสุนัข ที่ความจงรักภักดีที่แปลเป็นเงิน
เจ้าของสุนัขในประเทศไทยมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่มีเอกลักษณ์เฉพาตัว โดยเฉลี่ยแล้ว เจ้าของสุนัขใช้จ่ายประมาณ 3,500-5,500 บาทต่อเดือน สำหรับสุนัขหนึ่งตัว
รูปแบบการใช้จ่ายของเจ้าของสุนัข
ประเภทของค่าใช้จ่าย | ของการใช้จ่าย | ราคาตลาด |
อาหารและขนม | 40% |
|
การรักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพ | 25% |
|
อุปกรณ์และของเล่น | 20% |
|
บริการเสริม | 15% |
|
พฤติกรรมเจ้าของแมว ทาสนักเปย์กับเจ้านายจอมหยิ่ง
เจ้าของแมวมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ซับซ้อนกว่าที่คิด การสำรวจล่าสุดพบว่าเจ้าของแมวใช้จ่ายเฉลี่ย 3,500-6,800 บาทต่อเดือน ต่อแมวหนึ่งตัว โดยเฉพาะในกลุ่มของใช้ตกแต่งบ้านและอุปกรณ์เฉพาะแมวที่มีราคาสูง

จุดพิเศษของตลาดแมว: เจ้าของแมวมักจะลงทุนครั้งใหญ่ในการ "ปรับปรุงบ้าน" เพื่อแมว ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ปรากฏในการคำนวณรายเดือน แต่ส่งผลต่อ ARPU (Average Revenue Per User) ในระยะยาว
รูปแบบการใช้จ่ายของเจ้าของแมว
ประเภทของค่าใช้จ่าย | ของการใช้จ่าย | ราคาตลาด |
อาหารและขนม | 35% |
|
ทรายแมวและสุขอนามัย | 20% |
|
การรักษาพยาบาล | 15% |
|
อุปกรณ์และการปรับปรุงบ้าน | 30% |
|
การลงทุนครั้งใหญ่ของเจ้าของแมว (Hidden Cost)
สิ่งที่ทำให้ ARPU ของเจ้าของแมวสูงกว่าเจ้าของสุนัขในระยะยาว คือการลงทุนปรับปรุงบ้าน เจ้าของแมวเฉลี่ยจะใช้จ่าย:
ปีแรก: 50,000-150,000 บาท สำหรับการปรับปรุงบ้าน
ทุก 2-3 ปี: 20,000-80,000 บาท สำหรับการอัพเกรดอุปกรณ์
ตลาดไหนใหญ่กว่ากัน ระหว่าง "สุนัข" กับ "แมว"
เมื่อนำตัวเลขมาคำนวณแบบ Total Cost of Ownership รวมถึงการลงทุนครั้งใหญ่ เราจะได้ภาพรวมที่แตกต่างจากที่คิด
มูลค่ารวมตลาดสุนัข | มูลค่ารวมตลาดแมว |
4.2 ล้านครัวเรือน × 4,500 บาท/เดือน × 12 เดือน ประมาณ 226,800 ล้านบาท/ปี |
|
หมายเหตุ - ผลลัพธ์ที่น่าสนใจ
เมื่อคำนวณ Total Spending ตลาดแมวมีมูลค่าสูงกว่าตลาดสุนัขประมาณ 62% ส่วนใหญ่เกิดจากการลงทุนในอุปกรณ์และการปรับปรุงบ้าน
ARPU Comparison (5 ปีแรก)
เจ้าของสุนัข: 270,000 บาท/5 ปี
เจ้าของแมว: 485,000 บาท/5 ปี (สูงกว่า 79%)
เทรนด์และการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ตลาดสุนัข | ตลาดแมว | |
แนวโน้มของตลาด | ความมั่นคงแต่เติบโตช้า
| ตลาดเกิดใหม่ที่เติบโตเร็ว
|
บริการที่น่าจับตามอง |
|
|
สรุปแล้วตลาดไหนน่าลงทุนกว่ากัน?
จากการวิเคราะห์ข้างต้น พบว่า ตลาดแมวมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงกว่าตลาดสุนัข เมื่อคิดรวม Total Cost of Ownership แม้ว่าจะมีจำนวนครัวเรือนน้อยกว่า แต่มี ARPU สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
Insight สำคัญ:
ตลาดสุนัข: มีฐานลูกค้าใหญ่ แต่การใช้จ่ายคาดการณ์ได้ง่าย
ตลาดแมว: ฐานลูกค้าน้อยกว่า แต่มูลค่าต่อลูกค้าสูงกว่ามาก
สำหรับนักธุรกิจที่กำลังมองหาโอกาส:
เน้นตลาดสุนัข หากต้องการตลาดมวลชนและการหมุนเวียนรายได้ที่สม่ำเสมอ
เน้นตลาดแมว หากต้องการ Premium Market ที่มี ARPU สูงและการเติบโตที่รวดเร็ว
ทำทั้งสองตลาด เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจที่ต้องการ Portfolio ที่หลากหลาย
ในท้ายที่สุด ตลาดแมวกำลังกลายเป็น "ตลาดทอง" ที่มีมูลค่าสูงและเติบโตเร็ว ในขณะที่ตลาดสุนัขยังคงเป็นฐานที่มั่นคงสำหรับธุรกิจ การลงทุนในทั้งสองตลาดจึงเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด
อ้างอิง (References)
สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2024). "การสำรวจสัตว์เลี้ยงในครัวเรือนไทย พ.ศ. 2567"
สมาคมผู้ประกอบการอาหารสัตว์ไทย (2024). "รายงานตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงประจำปี 2567"
บริษัท เนลสัน ไอคิว (ประเทศไทย) (2024). "Pet Industry Consumer Behavior Report Thailand 2024"
ธนาคารกรุงเทพ - ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ (2024). "อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง: โอกาสการลงทุนใหม่ของไทย"
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ - คณะสัตวแพทยศาสตร์ (2023). "การศึกษาพฤติกรรมการดูแลสัตว์เลี้ยงของคนไทยยุคดิจิทัล"
บริษัท คันทาร์ (ประเทศไทย) (2024). "Pet Owner Spending Pattern Analysis 2024"
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (2024). "นวัตกรรมในอุตสaหกรรมสัตว์เลี้ยงไทย"
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (2024). "รายงานภาคอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง Q2/2567"
บริษัท ยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (2024). "Pet Care in Thailand: Market Analysis and Forecast"
กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (2024). "สถิติการนำเข้า-ส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง"
留言