top of page

ROPA ในกฎหมาย PDPA คืออะไร แล้วเราต้องทำอย่างไรกับมันดีนะ พร้อมแบบฟอร์ม ROPA

ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมข้อมูล (Data Society) ที่ความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสินทรัพย์ใหม่อันมีค่า กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) ได้เข้ามามีบทบาทในฐานะกฎหมายแม่บทที่ควบคุมการเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเป็นระบบ หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ถูกระบุไว้ในกฎหมายนี้ คือการจัดทำ “บันทึกรายการกิจกรรมประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล” หรือที่รู้จักในแวดวงวิชาการและวิชาชีพในชื่อ “ROPA” (Record of Processing Activities) ซึ่งยังคงเป็นคำถามที่ท้าทายสำหรับหลายองค์กรในประเทศไทยว่า เราต้องดำเนินการกับมันอย่างไร และมีภาระหน้าที่ตามกฎหมายอย่างไรบ้าง?


ROPA

ROPA คืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญในระบบ PDPA

ROPA คือเอกสารหรือชุดข้อมูลที่จัดทำขึ้นโดย ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) และในบางกรณี ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) เพื่อแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลภายในองค์กรอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมตั้งแต่แหล่งข้อมูล จุดประสงค์ ระยะเวลา รูปแบบความปลอดภัย ไปจนถึงการโอนข้อมูลไปยังต่างประเทศ


แม้ ROPA จะมีรากกำเนิดจากมาตรา 30 ของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแห่งสหภาพยุโรป หรือ GDPR (General Data Protection Regulation) ซึ่งเป็นต้นแบบของ PDPA ของไทย แต่ในกรณีของประเทศไทยนั้น กฎหมาย PDPA ก็ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนใน มาตรา 39 ว่า “ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องจัดทำบันทึกรายการกิจกรรมการประมวลผล” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนในการกำหนดภาระหน้าที่เชิงบังคับตามกฎหมายไทย


ขอบเขตตามกฎหมาย: ใครต้องทำ ROPA บ้าง?

กฎหมาย PDPA กำหนดให้ “ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล” ต้องจัดทำ ROPA เสมอ โดยไม่มีข้อยกเว้นตามขนาดองค์กรหรือปริมาณข้อมูล เช่นเดียวกับกรณีของ GDPR ที่ยังมีข้อยกเว้นสำหรับองค์กรขนาดเล็กในบางเงื่อนไข แต่ PDPA ของไทยไม่เปิดช่องดังกล่าว

ในทางปฏิบัติ หน่วยงานที่ต้องจัดทำ ROPA จึงรวมถึง:

  • บริษัทเอกชนที่มีการเก็บและประมวลผลข้อมูลลูกค้า พนักงาน หรือบุคคลภายนอก

  • หน่วยงานรัฐที่มีข้อมูลประชาชนในความดูแล

  • สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล สถานประกอบการ ฯลฯ

สำหรับ “ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล” หรือ Data Processor นั้น PDPA ยังไม่ระบุภาระหน้าที่ในการจัดทำ ROPA โดยตรงอย่างชัดเจน แต่ในกรณีที่ได้รับมอบหมายจากผู้ควบคุม อาจต้องร่วมกันจัดทำหรือดำเนินการตามคำสั่งของผู้ควบคุมข้อมูล ซึ่งบางครั้งการทำ ROPA กลายเป็นบทบาทของ DPO (Data Protection Officer) ขององค์กรไปเลยก็มี


เพราะถึงแม้ PDPA ไม่ได้ระบุว่า DPO จะต้องเป็นผู้จัดทำ ROPA โดยตรง แต่ในทางปฏิบัติ DPO มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลให้ผู้ควบคุมข้อมูลดำเนินการจัดทำ ROPA ให้ถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาแก่ผู้ควบคุมข้อมูลในการรวบรวมและประเมินความเสี่ยงจากกิจกรรมการประมวลผลต่าง ๆ

DPO ยังต้องมีส่วนร่วมในการตรวจสอบว่ามีการปรับปรุง ROPA อย่างสม่ำเสมอหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อองค์กรมีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์หรือรูปแบบการใช้ข้อมูล


เนื้อหาที่ต้องมีใน ROPA ตาม PDPA

หากพิจารณาจากประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่องหลักเกณฑ์การจัดทำบันทึกรายการกิจกรรมประมวลผล พ.ศ. 2565 ซึ่งออกภายใต้ มาตรา 39 จะพบว่า องค์ประกอบของ ROPA ตามกฎหมายไทย ต้องประกอบด้วยข้อมูลขั้นต่ำดังนี้:

  1. ชื่อหรือรายละเอียดของผู้ควบคุมข้อมูล

  2. วัตถุประสงค์ของการประมวลผลแต่ละรายการ

  3. คำอธิบายของประเภทข้อมูลส่วนบุคคลและเจ้าของข้อมูล

  4. ประเภทของบุคคลหรือหน่วยงานที่ได้รับข้อมูล

  5. การโอนข้อมูลไปต่างประเทศ (ถ้ามี)

  6. ระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

  7. มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล

ROPA จึงเปรียบเสมือนแผนผังข้อมูล (Data Map) ที่เปิดเผยให้เห็นระบบข้อมูลในองค์กรอย่างโปร่งใส ซึ่งมีประโยชน์ต่อการกำกับดูแลตามหลักธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance)


ข้อวิเคราะห์เชิงกฎหมาย: ROPA กับความรับผิดทางกฎหมาย

จากมุมมองเชิงกฎหมาย การไม่จัดทำ ROPA หรือการจัดทำไม่ครบถ้วนตามองค์ประกอบที่กฎหมายกำหนด อาจนำไปสู่การ ฝ่าฝืนมาตรา 39 ซึ่งหากถูกตรวจสอบโดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) และพบความผิดชัดเจน อาจมีโทษทางปกครอง เช่น คำสั่งให้แก้ไข ปรับปรุง หรือหยุดประมวลผลได้

ในกรณีที่มีการร้องเรียนจากเจ้าของข้อมูล และพบว่าไม่มี ROPA จัดทำไว้ หรือไม่สามารถแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ในระยะเวลาที่เหมาะสม อาจถูกมองว่าไม่มีระบบควบคุมภายในอย่างเพียงพอ อันเป็นความบกพร่องเชิงนิติกรรมที่นำไปสู่การฟ้องร้องหรือเรียกค่าเสียหายทางแพ่งได้ในอนาคต


จะเริ่มต้นจัดทำ ROPA อย่างไร?

ผู้ควบคุมข้อมูลสามารถดำเนินการจัดทำ ROPA ด้วยแนวทางเบื้องต้นดังนี้:

  1. ระบุรายการกิจกรรมทั้งหมดที่มีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลในองค์กร เช่น สมัครงาน การจัดทำเงินเดือน การตลาด CRM ฯลฯ

  2. กำหนดวัตถุประสงค์ที่แน่ชัด ในแต่ละกิจกรรม เช่น เพื่อการจ้างงาน การประเมินผล หรือการให้สิทธิประโยชน์

  3. จัดหมวดหมู่ประเภทของข้อมูล เช่น ข้อมูลทั่วไป (ชื่อ-สกุล) ข้อมูลทางการเงิน หรือข้อมูลอ่อนไหว

  4. ระบุผู้เกี่ยวข้องและช่องทางการจัดเก็บ/ถ่ายโอนข้อมูล

  5. บันทึกระยะเวลาและมาตรการรักษาความปลอดภัยในแต่ละกิจกรรม

องค์กรสามารถใช้ Excel หรือระบบจัดการข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Management Software) ที่มีฟังก์ชัน ROPA เพื่อช่วยในการจัดทำเอกสารดังกล่าวให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ISO 27701 หรือ NIST Privacy Framework ได้


บทสรุป: ROPA ไม่ใช่ภาระ แต่คือเครื่องมือเชิงกลยุทธ์

แม้ ROPA จะถูกมองว่าเป็นภาระทางกฎหมายในมุมมองขององค์กร แต่ในความเป็นจริงแล้ว ROPA เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยให้องค์กรสามารถเข้าใจระบบข้อมูลของตนเองอย่างรอบด้าน เพิ่มศักยภาพในการบริหารความเสี่ยง ลดความเสียหายจากการละเมิด และส่งเสริมความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ

ในยุคที่ความรับผิดชอบต่อข้อมูลไม่ใช่เรื่องของแผนกไอทีแต่เป็นภารกิจของทุกฝ่ายในองค์กร ROPA คือจุดเริ่มต้นของความเข้าใจและความโปร่งใสที่แท้จริง

ROPA ไม่ได้เป็นเพียงบันทึก แต่เป็นกระจกสะท้อนความพร้อมขององค์กรในการเคารพสิทธิของเจ้าของข้อมูลและยืนหยัดอยู่บนหลักการของกฎหมายยุคใหม่อย่างแท้จริง

อ้างอิงกฎหมายและประกาศที่เกี่ยวข้อง

  • พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

  • ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดทำบันทึกรายการกิจกรรมประมวลผล พ.ศ. 2565

  • แนวทางปฏิบัติจาก European Data Protection Board (EDPB) เกี่ยวกับ Article 30 of GDPR

  • ISO/IEC 27701:2019 Privacy Information Management


Comments


bottom of page