บทวิเคราะห์สิทธิในการปกครองบุตรและความชอบด้วยกฎหมายของสัญญามอบบุตร
- Aktivist Admins

- 9 ธ.ค.
- ยาว 2 นาที
ในกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวเกี่ยวกับชายผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์รายหนึ่งซึ่งพาบุตรวัยเพียงหนึ่งเดือนไปจากหญิงสาวอายุ 26 ปีที่เป็นมารดาของเด็ก โดยที่ทั้งสองมิได้จดทะเบียนสมรสกัน กรณีนี้ได้สร้างข้อถกเถียงในประเด็นทางกฎหมายอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในเรื่อง "สิทธิในการปกครองบุตร" และความชอบด้วยกฎหมายของ "สัญญามอบบุตร" ที่มารดาได้ลงนามไว้

ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น” ซึ่งหมายความว่า หากไม่มีการสมรสที่ชอบด้วยกฎหมายหรือการรับรองบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย บิดาย่อมไม่มีสิทธิใช้อำนาจปกครองบุตร ไม่สามารถตัดสินใจแทนบุตร หรือนำบุตรไปจากมารดาโดยพละการได้ ทั้งนี้ แม้ชายผู้นั้นจะเป็นบิดาทางสายเลือด แต่หากยังไม่มีการรับรองบุตรตามบทบัญญัติมาตรา 1547 – 1560 เขาย่อมไม่ใช่ “บิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย” และไม่มีสิทธิใด ๆ ในทางปกครองเหนือบุตร
ในกรณีข่าว มีการกล่าวถึงเอกสารที่มารดาได้ลงนามยินยอมให้บิดานำบุตรไปเลี้ยงดู ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น "สัญญามอบบุตร" หรือการโอนอำนาจปกครองโดยสมัครใจ อย่างไรก็ดี ตามหลักกฎหมายไทยนั้น การใช้อำนาจปกครองเป็นสิทธิที่เกี่ยวข้องกับสถานภาพของบุคคลและความสงบเรียบร้อยของประชาชน การโอนสิทธิดังกล่าวจึงไม่อาจกระทำได้โดยเพียงแค่ทำสัญญาระหว่างเอกชนหรือกล่าวโดยง่ายคือสัญญามอบบุตรระหว่างบุคคลคนหนึ่ง ๆนั้นไม่อาจกระทำได้นั่นเอง ดังนั้น หากประสงค์จะให้ผู้อื่นใช้อำนาจปกครองแทน จำเป็นต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตเท่านั้น ดังนั้น เอกสารดังกล่าวแม้จะมีลายเซ็นของมารดา ก็ไม่ก่อให้เกิดผลทางกฎหมายในการโอนอำนาจปกครองได้
เมื่อบิดาได้นำบุตรไปโดยไม่ได้รับความยินยอมโดยชอบด้วยกฎหมายจากมารดา จึงอาจเป็นความผิดอาญาฐาน "พรากผู้เยาว์" จากผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 ซึ่งระบุว่าผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท แม้ในทางคดีอาจไม่มีการแจ้งความดำเนินคดี แต่พฤติการณ์ดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามกระบวนการทางกฎหมายก่อนจะดำเนินการใดที่มีผลต่อสิทธิของเด็ก
กล่าวโดยสรุป มารดาเป็นผู้มีสิทธิใช้อำนาจปกครองบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายแต่เพียงผู้เดียวในกรณีที่มิได้จดทะเบียนสมรสกับบิดา การที่บิดานำบุตรไปโดยไม่มีสิทธิดังกล่าวถือเป็นการละเมิดสิทธิของมารดาและเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมายอาญา ส่วนสัญญาหรือเอกสารที่เรียกว่าสัญญามอบบุตรหากมิได้มีคำสั่งศาลรับรองก็ย่อมไม่มีผลในทางกฎหมาย การคุ้มครองสิทธิของบุตรและมารดาจึงต้องอาศัยการเคารพในหลักนิติรัฐและกระบวนการยุติธรรมอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับความยุติธรรมอย่างแท้จริง
กรณีแพทย์พาบุตรจากมารดา กับ พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562
หลักการและเจตนารมณ์ของกฎหมาย
พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562 มีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองครอบครัว ไม่เพียงในฐานะของหน่วยสังคมพื้นฐาน แต่รวมถึงการคุ้มครองสิทธิของสมาชิกในครอบครัวอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะเด็กและสตรีซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ตัวบทกฎหมายจึงมีทั้งบทบัญญัติที่ส่งเสริมบทบาทของบิดามารดาในการเลี้ยงดูบุตร และบทบัญญัติที่เน้นการ ป้องกันและแก้ไขการกระทำความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงการพรากหรือกีดกันสมาชิกในครอบครัวออกจากกันโดยมิชอบ
นิยาม "ครอบครัว" และ "ความรุนแรงในครอบครัว" ตามกฎหมาย
มาตรา 4 ให้คำนิยามว่า “บุคคลในครอบครัว” หมายถึง ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตรบุญธรรม รวมทั้งบุคคลใด ๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน ซึ่งในกรณีนี้แม้ชายและหญิงจะไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่เคยอยู่ร่วมกันและมีบุตรด้วยกัน จึงอาจเข้าข่ายความสัมพันธ์ในครอบครัวตามเจตนารมณ์ของกฎหมายนี้
ในขณะเดียวกัน คำว่า “ความรุนแรงในครอบครัว” ตามมาตรา 4 ครอบคลุมถึง “การกระทำใด ๆ ที่บุคคลในครอบครัวได้กระทำต่อกันโดยเจตนาให้เกิดหรือในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ สุขภาพ เสรีภาพ หรือชื่อเสียง ของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดโดยมิชอบ” ซึ่งไม่ได้หมายถึงเฉพาะการใช้กำลัง แต่รวมถึงการใช้ อำนาจเหนือกว่าในการบังคับ กดดัน หรือพรากเด็ก โดยไม่ยินยอมจากผู้มีสิทธิ ซึ่งในกรณีที่แพทย์พยายามนำเด็กไปจากมารดา โดยมีมารดาของแพทย์ (ย่าของเด็ก) มาร่วมด้วย ซึ่งอาจเข้าข่ายการ ใช้อิทธิพลทางครอบครัว ในลักษณะของการควบคุมหรือบีบบังคับทางจิตใจ และอาจถูกพิจารณาว่าเป็นการกระทำที่ไม่เคารพเสรีภาพของมารดา รวมถึงเป็นการกระทบต่อสิทธิของเด็กในด้านความมั่นคงทางจิตใจและสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
สิทธิของเด็กตามมาตรา 22 และ 23
มาตรา 22 มีหลักการว่า “การคุ้มครองสวัสดิภาพ เป็นการดำเนินการเพื่อให้บุคคลในครอบครัวได้รับ
ความปลอดภัย มีความสัมพันธ์ที่ดี และป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ” และ มาตรา 23 เน้นให้รัฐต้องดำเนินการตามหลัก “ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก” (best interest of the child) ซึ่งเป็นหลักสากลตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ดังนั้น การที่เด็กถูกนำไปโดยบิดาที่ไม่มีสิทธิในทางกฎหมาย อาจเป็นการกระทำที่ขัดต่อผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก ด้วยเหตุเพราะ เด็กยังอยู่ในวัยที่ต้องพึ่งพิงการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดกับมารดา การพรากเด็กจากผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมาย อาจส่งผลต่อพัฒนาการทั้งทางกายและจิตใจ และ การกระทำของบิดาอาจไม่ผ่านการพิจารณาของหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลคุ้มครองเด็ก ดังนั้น การที่เจ้าหน้าที่รัฐ หรือผู้ช่วยรัฐมนตรีเข้ามาไกล่เกลี่ยและนำเด็กกลับคืนมา จึงสอดคล้องกับแนวนโยบายคุ้มครองสิทธิของเด็กตามกฎหมายมากที่สุด
สิทธิของเด็กตามหลัก “ประโยชน์สูงสุด”
หลักการสำคัญตาม พ.ร.บ. คือ “ในการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ให้ถือประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ” การที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำเด็กไปจากอีกฝ่ายโดยไม่คำนึงถึงความผูกพัน ความปลอดภัย หรือสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ย่อมขัดต่อหลักประโยชน์สูงสุดของเด็ก การฟื้นฟูให้เด็กกลับสู่อ้อมอกของมารดาผู้ใช้อำนาจปกครองโดยชอบ จึงสอดคล้องกับหลักการในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอีกด้วย
การนำเด็กไปจากมารดา: การละเมิดสิทธิและความรุนแรงเชิงโครงสร้าง
ตาม มาตรา 317 แห่ง ประมวลกฎหมายอาญา กำหนดว่า “ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล” ในกรณีดังกล่าว การที่แพทย์นำบุตรไปจากมารดาโดยไม่มีสิทธิในอำนาจปกครอง ไม่อาจถือว่าเป็น “เหตุสมควร” ตามกฎหมาย และไม่มีคำสั่งศาลรองรับ จึงอาจเข้าข่ายเป็นการ “พรากเด็ก” หรือ “กีดกันเด็กออกจากผู้ปกครอง” ซึ่งขัดต่อเจตนารมณ์ของ กฎหมาย และอาจเป็น “การกระทำรุนแรงในครอบครัว” ทางอ้อม
บทบาทของหน่วยงานรัฐและการฟื้นฟูความสัมพันธ์
มาตรา 18 และ 28 ระบุถึงบทบาทของ “สำนักงานส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัว” ซึ่งอาจมอบอำนาจให้ เจ้าหน้าที่คุ้มครองครอบครัว เข้าไปไกล่เกลี่ย แยกคู่ขัดแย้ง และหากมีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความรุนแรงต่อเด็กหรือผู้ใดในครอบครัว ให้สามารถเข้าช่วยเหลือชั่วคราวและแจ้งศาลได้ซึ่งทางภาครัฐอาจเข้ามาทำหน้าที่ได้ เช่น ส่งเจ้าหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์ประเมินสถานการณ์, ฟื้นฟูความสัมพันธ์ในครอบครัวผ่านการให้คำปรึกษา, สนับสนุนให้บิดาใช้สิทธิของตนอย่างถูกต้องผ่านการรับรองบุตรและการขอใช้อำนาจปกครองร่วมอย่างเป็นทางการ โดยสิ่งสำคัญคือ การป้องกันไม่ให้การกระทำอันเกิดจากความขัดแย้งส่วนบุคคลกลายเป็นภาระหรือสร้างบาดแผลให้แก่เด็ก
แนวทางแก้ไขข้อขัดแย้งในครอบครัวตาม พ.ร.บ.
กฎหมายฉบับนี้มีบทบัญญัติที่เน้น “การระงับข้อพิพาทภายในครอบครัว” ผ่านการไกล่เกลี่ย การฟื้นฟูความสัมพันธ์ และการคุ้มครองผู้เสียหาย โดยเฉพาะเด็ก ซึ่งรวมถึง มาตรา 36 – 38 ที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการระงับข้อพิพาท หรือจัดให้มีนักสังคมสงเคราะห์เข้าดูแลในกรณีมีความขัดแย้งเกี่ยวกับเด็ก และ มีช่องทางให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. นี้ ซึ่งอาจเป็นช่องทางที่เหมาะสมกว่าการดำเนินคดีอาญาโดยตรง ในกรณีนี้ จะเห็นว่า ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข และนักสังคมสงเคราะห์ได้เข้ามาไกล่เกลี่ยปัญหาและดูแลการส่งคืนเด็ก จึงถือว่าเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว
สถานะของ "สัญญามอบบุตร" ในบริบท พ.ร.บ.สถาบันครอบครัวฯ
ในข่าวมีเอกสารที่มารดาเคยลงนามให้บิดานำบุตรไปเลี้ยงดู ซึ่งฝ่ายชายอ้างว่าเป็น "สัญญามอบบุตร" หากพิจารณาตาม พ.ร.บ.สถาบันครอบครัวฯ ร่วมกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การโอนอำนาจปกครองหรือการแยกเด็กจากผู้มีสิทธิตามกฎหมาย ไม่อาจกระทำได้โดยเอกสารเอกชนลำพัง หากไม่มีการรับรองโดยรัฐหรือคำสั่งศาล เอกสารดังกล่าวย่อมไม่มีผลในการโอนสิทธิใด ๆ และการนำเด็กไปโดยอาศัยเอกสารนี้อาจกลายเป็นเครื่องมือในการใช้อำนาจที่ไม่ชอบ
ข้อเสนอเชิงนโยบายและบังคับใช้
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึง ช่องว่างระหว่างกฎหมายแพ่งและกฎหมายครอบครัวเชิงสังคม กล่าวคือ แม้ พ.ร.บ.นี้ให้การคุ้มครองในเชิงความสัมพันธ์ครอบครัว แต่หากฝ่ายชายไม่ดำเนินการรับรองบุตร ก็ไม่มีสิทธิในการปกครองบุตรในเชิงกฎหมาย ดังนั้นจึงควรมี แนวทางให้คำปรึกษาทางกฎหมายในโรงพยาบาลหรือหน่วยงานของรัฐ เมื่อตรวจพบความขัดแย้งในครอบครัวที่อาจกระทบต่อเด็ก เพื่อให้การเจรจาอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและคุ้มครองประโยชน์สูงสุดของเด็กโดยไม่กระทบสิทธิมารดาหรือบุคคลที่มีอำนาจปกครองโดยชอบ
สรุป
พ.ร.บ.สถาบันครอบครัวฯ พ.ศ. 2562 ได้สร้างหลักประกันทางกฎหมายเพื่อคุ้มครองเด็กและบุคคลในครอบครัวจากการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ รวมถึงความรุนแรงเชิงอำนาจและการควบคุมโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้มีสิทธิตามกฎหมาย กรณีแพทย์นำเด็กไปจากมารดาโดยที่ยังไม่มีสถานะทางกฎหมายเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย อาจเข้าข่ายการละเมิดสิทธิตามกฎหมายนี้ ทั้งนี้ การใช้สิทธิของบิดาควรเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่ใช่การอ้างสิทธิสายเลือดเพื่อนำเด็กไปโดยพละการ การคุ้มครองสถาบันครอบครัวจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของความสัมพันธ์ แต่เป็นเรื่องของการเคารพในกฎหมาย และยึดหลัก “ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก” เป็นสำคัญเสมอ




ความคิดเห็น