top of page

ปัญหาเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา กับกรณี ซอสพริก ‘ศรีราชา’ ปัญหาของแบรนด์ไทยที่ใหญ่ระดับโลก

เมื่อกล่าวถึงคำว่า “ศรีราชา” ในบริบทของเครื่องปรุงรส หลายคนอาจนึกถึงซอสพริกสีแดงเข้มที่มีกลิ่นหอมฉุนและรสเผ็ดจัดจ้าน ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักในระดับสากลภายใต้ชื่อ “Sriracha Sauce” โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่เรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเครื่องปรุงชนิดนี้กลับแฝงด้วยบทเรียนอันเจ็บปวดของประเทศไทยที่สูญเสียโอกาสในการเป็นเจ้าของ “แบรนด์ศรีราชา” ซึ่งกำเนิดขึ้นในประเทศไทยแท้ ๆ แต่กลับไม่มีสิทธิ์ควบคุมแบรนด์ในเวทีโลก

กรณีของซอสพริกศรีราชาจึงกลายเป็นกรณีศึกษาระดับโลกด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property: IP) ที่มีความสลับซับซ้อน และสะท้อนถึงช่องว่างในระบบกฎหมาย ความเข้าใจของผู้ประกอบการ และกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ที่ขาดมิติด้านการปกป้องสิทธิอย่างเป็นระบบ


ทรัพย์สินทางปัญญา ซอสพริกศรีราชา

กำเนิดของ "ซอสศรีราชา": ตำนานที่เริ่มจากเมืองชลบุรี

ซอสพริกศรีราชามีจุดเริ่มต้นในช่วงทศวรรษที่ 1930 โดยคุณพุทธเลิศ ภูมิจำนงค์ หรือที่รู้จักในนามคุณแม่ศรีทอง ซึ่งได้คิดค้นสูตรซอสพริกแบบเฉพาะตัวในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี จากการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นอย่างพริก กระเทียม น้ำส้มสายชู และน้ำตาล ผสมผสานกันจนเกิดเป็นรสชาติที่กลมกล่อมและมีความเผ็ดร้อนอย่างพอเหมาะ ซอสศรีราชากลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายภายในประเทศไทย โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบอาหารทะเล

อย่างไรก็ดี แม้ผลิตภัณฑ์จะได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แต่ในช่วงเวลานั้นแนวคิดเรื่องการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตร หรือความคุ้มครองด้านทรัพย์สินทางปัญญา ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย โดยเฉพาะในหมู่ผู้ประกอบการรายย่อยในประเทศไทย ส่งผลให้ซอสศรีราชาถูกใช้ชื่อโดยผู้ผลิตรายอื่น ๆ อย่างอิสระ อย่างไม่มีกรอบกฎหมายที่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการละเมิดในทรัพย์สินทางปัญญา โดยที่เจ้าของสิทธิที่แท้จริงขาดไร้ซึ่งสิทธิในการระงับการละเมิดใดๆ ที่เกิดขึ้น


จากชลบุรีสู่แคลิฟอร์เนีย: การเดินทางของแบรนด์ที่ไร้เจ้าของ

เรื่องราวเริ่มพลิกผันเมื่อ “David Tran” ผู้อพยพชาวเวียดนามเชื้อสายจีน ได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายทศวรรษ 1970 และก่อตั้งบริษัท Huy Fong Foods ในปี 1980 เขาได้นำสูตรซอสศรีราชามาดัดแปลงและผลิตภายใต้ชื่อ “Sriracha Hot Chili Sauce” โดยใช้โลโก้รูปไก่ (Rooster Brand) ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ที่คุ้นตาของผู้บริโภคทั่วโลก

สิ่งที่น่าสนใจคือ Tran ไม่ได้จดทะเบียน “Sriracha” เป็นเครื่องหมายการค้าแบบเฉพาะเจาะจง (Exclusive Trademark) แต่ในทางปฏิบัติ ชื่อ “Sriracha” กลับกลายเป็นเครื่องหมายที่เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ของ Huy Fong Foods อย่างแนบแน่น และมีอิทธิพลต่อแบรนด์อื่น ๆ ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดซอสพริกระดับสากลในเวลาต่อมา


มุมมองทางกฎหมาย: ความล้มเหลวเชิงโครงสร้างในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา

จากมุมมองของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ปัญหาสำคัญในกรณีนี้คือการไม่จดทะเบียนชื่อ “ศรีราชา” เป็นเครื่องหมายการค้าตั้งแต่ต้น แม้ชื่อจะมีที่มาทางภูมิศาสตร์ที่ชัดเจน แต่หากมีการยื่นคำร้องเพื่อขอจดทะเบียนชื่อ “Sriracha” ในลักษณะเครื่องหมายรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Geographical Indication: GI) หรือแม้กระทั่งการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า (Trademark) ภายใต้กฎหมายในประเทศและต่างประเทศ ก็น่าจะสามารถรักษาสิทธิความเป็นเจ้าของไว้ได้

แต่ประเทศไทยในช่วงก่อนทศวรรษ 1990 ยังไม่มีระบบที่เข้มแข็งในเรื่องนี้ และความเข้าใจของผู้ประกอบการต่อการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญายังอยู่ในระดับต่ำ โดยมองว่าการขอรับความคุ้มครองทางด้านทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสิ่งไม่จำเป็นและสิ้นเปลือง นอกจากนี้ ยังไม่มีหน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่ในการผลักดันให้ทรัพย์สินทางปัญญาได้รับการจดทะเบียนไม่ว่าจะในระดับประเทศและในระดับนานาชาติอย่างมีประสิทธิภาพ


ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและวัฒนธรรม

1.    การสูญเสียสิทธิทางเศรษฐกิจแบรนด์ “Sriracha” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของซอสพริกระดับโลก แต่กลับไม่ได้สร้างรายได้คืนให้กับประเทศไทยเท่าที่ควร แม้ต้นกำเนิดจะอยู่ในจังหวัดชลบุรีก็ตาม ทั้งในเรื่องความสามารถในการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ การควบคุมคุณภาพสินค้า และการสร้างรายได้จากแฟรนไชส์หรือสัญญาอนุญาต ดังนั้นคำว่า “Sriracha” กลายเป็นสิ่งที่ไทยไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่เลย

2.    การบิดเบือนอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมในสายตาชาวโลก “Sriracha” กลายเป็นแบรนด์ที่ถูกเข้าใจว่าเป็นของเวียดนาม หรือสหรัฐอเมริกา มากกว่าจะเป็นของไทย นี่คือผลกระทบเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อขาดความเอาใจใส่ในทรัพย์สินทางปัญญา ก็เท่ากับเปิดทางให้วัฒนธรรมท้องถิ่นถูกรวมกลืนโดยกลไกตลาดโลกไปโดยปริยาย


ทรัพย์สินทางปัญญา ซอสพริกศรีราชา พริกแห้ง

บทเรียนสำหรับผู้ประกอบการไทย: ทรัพย์สินทางปัญญาไม่ใช่เรื่องไกลตัว

กรณีซอสศรีราชาเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับผู้ประกอบการไทยว่า การมีสินค้าที่ดีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับการประกอบธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูง ไม่ว่าจะเป็นยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ความเข้าใจเรื่อง หรือยุคใดๆ ก็ตาม การจดมีความคุ้มครองในทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเป็นระบบ คือสิ่งจำเป็นที่ต้องมีตั้งแต่เริ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น:

· การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า (Trademark) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

· การจด GI สำหรับสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร์ เช่น กาแฟดอยช้าง ผ้าไหมแพรวา เป็นต้น

· การมีที่ปรึกษากฎหมายทางด้านทรัพย์สินทางปัญญาประจำแบรนด์ เพื่อวางแผนการปกป้องระยะยาว

· การสร้างอัตลักษณ์แบรนด์ที่มีความเชื่อมโยงกับท้องถิ่น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงวัฒนธรรม


ภาครัฐควรมีบทบาทอย่างไร?

ภาครัฐควรมีนโยบายเชิงรุกมากขึ้นในการส่งเสริมการขอรับความคุ้มครองที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าท้องถิ่นที่มีศักยภาพในการเติบโตสู่ระดับสากล ควรมี:

· กองทุนสนับสนุนการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในต่างประเทศ

· หน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่ขึ้นทะเบียน GI และให้คำปรึกษาเชิงกฎหมายแก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น

· ความร่วมมือกับหน่วยงานด้านการค้าระหว่างประเทศเพื่อป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไทย


บทสรุป

กรณีศึกษาของซอสพริก “ศรีราชา” คือบทเรียนสำคัญที่สะท้อนถึงช่องว่างทางกฎหมาย แนวคิด และกลยุทธ์ของประเทศไทยในเวทีการแข่งขันระดับโลก แม้เราจะเป็นผู้ให้กำเนิดสูตรและชื่อ แต่ในท้ายที่สุดกลับไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะอ้างว่าเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวในเวทีระดับโลก ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่สินค้าทางวัฒนธรรมสามารถกลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่ามหาศาล การรู้เท่าทันกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา และการมีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการปกป้องสิทธิ์ตั้งแต่ต้น จึงไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่คือ “เงื่อนไขบังคับ” สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการก้าวไปสู่ตลาดโลกอย่างยั่งยืน

Comments


bottom of page